สสารที่เหลือจากการก่อตัวของดาวเคราะห์ชั้นใน4. ถูกรบกวนจากแรงโน้มถ่วงอันมหาศาล ของดาวพฤหัสบดี ทำให้ไม่สามารถก่อตัวเป็นดาวเคราะห์ได้ จึงเกิดเป็น แถบดาวเคราะหนอย (asteroid belt) โคจรรอบดวงอาทิตย์ ในบริเวณที่อยู่ระหว่างวงโคจรของดาวอังคารและ ดาวพฤหัสบดีดาวเคราะห์น้อย (Asteroids): วัตถุขนาดเล็กที่ไม่ได้รวมตัวกันเป็นดาวเคราะห์หรือที่ถูกทำลายไปแล้ว ดาวเคราะห์น้อยส่วนใหญ่จะอยู่ในแถบระหว่างดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ ซึ่งมักจะเป็นวัสดุที่ไม่ได้รวมตัวกันเป็นดาวเคราะห์ชั้นในในช่วงแรกของการก่อตัวของระบบสุริยะ ฝุ่นและก๊าซ (Dust and Gas): ในช่วงการก่อตัวของดาวเคราะห์ จะมีฝุ่นและก๊าซที่หลงเหลืออยู่ ซึ่งสามารถอยู่ในรูปของเมฆฝุ่นในอวกาศหรือกระจายอยู่ในแถบวงโคจรของดาวเคราะห์น้อย ซากของดาวเคราะห์ที่หายไป (Remnants of Lost Planets): อาจมีซากหรือชิ้นส่วนจากดาวเคราะห์ที่เคยเกิดขึ้นแต่ไม่ได้รอดมา เช่น ดาวเคราะห์ที่ถูกทำลายโดยการชนกันหรือการชนะแรงโน้มถ่วง ปฏิกิริยาของสารเคมี (Chemical Residues): สสารที่เป็นผลพลอยได้จากปฏิกิริยาหรือกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการสร้างดาวเคราะห์ ซึ่งอาจอยู่ในรูปของสารเคมีหรือโมเลกุลที่แตกต่างกัน สสารเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการและพัฒนาการของระบบสุริยะและสามารถให้ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับประวัติของการก่อตัวของดาวเคราะห์และการพัฒนาของระบบดาวอื่น ๆ ในจักรวาลได้เช่นกัน |
จานกำเนิดดาวเคราะห์บริเวณที่อยู่ไกลจากดวงอาทิตย์มีอุณหภูมิต่ำ5. ทำให้สสารที่มี จุดหลอมเหลวต่ำ เช่น ไฮโดรเจน ฮีเลียม มีเทน แอมโมเนีย ไอน้ำ รวมถึงฝุ่นจะค่อย ๆ รวมตัวกันเป็น ดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ มีองค์ประกอบส่วนใหญ่เป็นแก๊สไฮโดรเจนและฮีเลียม และมีแก่นเป็นของแข็ง เรียกว่า ดาวเคราะห์ยักษ์แก๊ส (gas giant planet) ซึ่งมี 2 ดวง ดาวเคราะห์ยักษ์น้ำแข็ง (ice giant planet) ซึ่งมี 2 ดวง ได้แก่ ดาวยูเรนัส และดาวเนปจูน ปัจจุบัน นักดาราศาสตร์พบว่าองค์ประกอบของดาวเคราะห์ยักษ์น้ำแข็งประมาณ 2 ใน 3 การก่อตัวของดาวเคราะห์น้ำแข็ง (Ice Giants): ในบริเวณที่ห่างจากดวงอาทิตย์ เช่น แถบดาวเคราะห์น้อยหรือแถบไคเปอร์ (Kuiper Belt) การก่อตัวของดาวเคราะห์จะมีวัสดุน้ำแข็งและก๊าซอื่น ๆ ที่สามารถรวมตัวกันได้ง่ายกว่าดาวเคราะห์หิน ซึ่งทำให้ดาวเคราะห์ในพื้นที่เหล่านี้ เช่น ดาวเนปจูนและดาวยูเรนัส มีการรวมตัวของน้ำแข็งมากกว่าดาวเคราะห์ที่ใกล้ดวงอาทิตย์ การก่อตัวของดาวเคราะห์น้อยและดาวหาง (Asteroids and Comets): วัสดุในบริเวณที่ไกลจากดวงอาทิตย์มักจะมีน้ำแข็งรวมอยู่ด้วย ทำให้สามารถรวมตัวกันเป็นดาวเคราะห์น้อยและดาวหางได้ ซึ่งเป็นแหล่งสำคัญในการศึกษาเกี่ยวกับสสารที่มีอุณหภูมิต่ำในระบบสุริยะ กระบวนการของการรวมตัวที่ช้ากว่า (Slower Aggregation Processes): เนื่องจากอุณหภูมิต่ำ ทำให้วัสดุต่าง ๆ รวมตัวกันได้ยากขึ้น การรวมตัวของวัสดุในพื้นที่นี้อาจเกิดขึ้นในเวลาที่นานกว่า ซึ่งส่งผลให้ดาวเคราะห์และดาวเคราะห์น้อยในพื้นที่เหล่านี้มีลักษณะเฉพาะและแตกต่างจากดาวเคราะห์ที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ |
จานกำเนิดดาวเคราะห์ชั้นนอกในบริเวณที่ไกลออกไป6.ประกอบด้วยสสารดั้งเดิมของเนบิวลา สุริยะที่ไม่ได้ก่อตัวเป็นดาวเคราะห์ เช่น มีเทน แอมโมเนีย น้ำ ที่อยู่ในสถานะของแข็ง สสารเหล่านี้ กระจายตัวอยู่ในบริเวณถัดจากวงโคจรของดาวเนปจูนออกไป เรียกว่า แถบไคเปอร์ (Kuiper belt) ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดดาวหางคาบสั้น และบริเวณที่ถัดจากแถบไคเปอร์ออกไป เรียกว่า ดงดาวหาง หรือ เมฆของออร์ต (Oort cloud) จะเป็นแหล่งกำเนิดดาวหางคาบยาว จากกระบวนการเกิดระบบสุริยะดังกล่าวข้างต้น แสดงให้เห็นว่าดวงอาทิตย์และบริวารต่าง ๆ ก็กำเนิดมาจากเนบิวลาสุริยะจึงมีธาตุที่เป็นองค์ประกอบส่วนใหญ่คล้ายคลึงกัน แต่อาจมีสัดส่วน องค์ประกอบของธาตุหนักแตกต่างกันไป เช่นเดียวกับอุกกาบาตเหล็กที่พบบนโลกมีธาตุองค์ประกอบ เป็นสสารดั้งเดิมที่เหลือจากการก่อตัวของระบบสุริยะ แต่จากตำแหน่งที่เกิด ลักษณะการเกิดและ สัดส่วนของธาตุที่เป็นองค์ประกอบที่แตกต่างกัน ทำให้นักดาราศาสตร์ได้แบ่งเขตพื้นที่รอบ ดวงอาทิตย์ออกเป็น 4 เขต คือ ดาวเคราะห์ชั้นใน แถบดาวเคราะห์น้อย ดาวเคราะห์ชั้นนอก และ แถบไคเปอร์กับดงดาวหาง |
|
![]() |
![]() |